เทรนด์ใหม่ล่าสุด! "ผิวขาว หน้าใสเร่งด่วน เห็นผลภายใน 1 สัปดาห์! โดดเด่นด้วยคอลลาเจนเข้มข้น ไม่ต้องฉีด ปลอดภัย 100%" นี่คือตัวอย่างคำโฆษณาสรรพคุณของคอลลาเจนผง นอกจากจะมีส่วนผสมของคอลลาเจนเป็นตัวหลักแล้ว ยังอัดแน่นไปด้วยวิตามินที่ทำให้ขาวขึ้น เช่น วิตามินซี และสารตั้งต้นของกลูต้าไธโอน ชงเพียง 1 ซองต่อวัน ชงกับน้ำดื่ม หรือเติมในอาหารก็ได้ ง่ายๆ สาวกความขาวจึงแห่ซื้อมากินเพราะหวังว่าจะขาวและเต่งตึง ได้ประโยชน์ 2 เด้ง
แต่เดี๋ยวก่อน! มิใช่ว่าผลข้างเคียงของคอลลาเจนผงจะไม่มี นอกจากจะหน้าตาสะสวย ผิวพรรณเต่งตึงแล้ว ความคิดต้องชาญฉลาดทันโลก อย่าเชื่อแต่คำโฆษณาหรือบ้าตามดารานะคะ
คอลลาเจนผงไร้ประโยชน์ ไม่ดูดซึม เปลือง!
"ครับ คอลลาเจนผง ไม่มีประโยชน์ แทบจะไม่ได้ดูดซึมอะไรเลย จะถ่ายทิ้งออกมาหมด เปลือง" นพ.ปิยะวงศ์ เศรษฐวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก Skeyndor Clinic กล่าว
"ถามว่า ทำไมคอลลาเจนผงถึงกำลังเป็นที่โด่งดัง คงจะเป็นเรื่องของการมาร์เก็ตติ้งมากกว่าครับ เพราะสารส่วนใหญ่ที่ออกฤทธิ์จะโดนกรดในกระเพาะทำลายหมด ยกเว้นวิตามินบางชนิดเท่านั้นเอง"
"ถ้าจะได้ผล คอลลาเจนต้องฉีดเข้าไป หรือเป็นการใช้ทาข้างนอกและใช้เครื่องมือพิเศษผลักไอออนให้คอลลาเจนเข้าไป หรือมีเลเซอร์บางตัวไปกระตุ้น ไปสั่นเพื่อให้คอลลาเจนเกิดการกระตุ้น ปลุกให้คอลลาเจนตื่นตัว เพราะตอนนี้มันหลับอยู่ พอเข้าไปกระตุ้นมันก็จะตื่นนั่นเอง"
"และคอลลาเจนสามารถสร้างเพิ่มขึ้นมาได้ เช่น การร้อยไหม หรือการใช้เครื่องเลเซอร์ผลักหรือกระตุ้น จะทำให้คอลลาเจนตื่นตัวได้"
คุณหมอย้ำว่า "แต่ถ้าใช้กิน ไม่ค่อยเวิร์ก ไม่แนะนำ" พร้อมอธิบายต่อว่า คอลลาเจนไม่ได้ทำให้ขาวหรอก แต่เป็นเพราะสารตัวอื่นมากกว่า ซึ่งผลข้างเคียงเพียบ
"การกินแล้วแล้วขาวนั้น อาจจะเป็นเพราะการผสมกลูต้าไธโอน หรือผสมสารปรอท ซึ่งสารปรอทนี่ขาวแน่นอน แต่ผลข้างเคียงเยอะมาก ทำให้ตับ ไต พังหมดเลยครับ ในระยะสั้นขาวจริง แต่ในระยะยาวเป็นผลเสียต่อร่างกายมาก ระยะยาวนั้นถ้าเป็นคนไข้ที่ไม่ได้มีโรคประจำตัว เช่น ตับไม่ได้วาย ไตไม่ได้วาย อาจจะราวๆ 1 ปี ติดต่อกัน จะเกิดอาการไตวาย"
กินแล้วขาวออร่า "คิดไปเอง"
ดังนั้นการทานคอลลาเจนผง กินแล้วไม่ได้ขาวใสปิ๊งขึ้นหรอก แต่เป็นเรื่องของ "การคิดไปเอง" มากกว่า
"ถ้าไม่ได้มีปัญหาเรื่องของการเงิน ถ้าซื้อได้ กินได้ รู้สึกดี ก็กินครับ ผมว่ามันเป็นเรื่องของสุขภาพจิตด้วยนะ ถ้ากินแล้วรู้สึกดี รู้สึก healthy ราคารับไหว กินแล้วไม่ได้มีผลข้างเคียงอะไร ตรวจดูแล้วไม่ได้มีสารปรอท ไม่มีสารเคมีอื่นตกค้างก็สามารถกินได้ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องต้องห้ามอะไร"
"แต่ถ้ากินแล้วจะหวังผลว่ามันจะต้องได้อย่างนั้นขาวได้อย่างนี้ก็คงไม่ใช่จุดประสงค์ เพราะการกินคอลลาเจนผงไม่ได้กระตุ้นให้ขาวได้จึงบอกไม่ได้ว่าทานกี่มิลลิกรัมต่อวันแล้วจะขาว น่าจะเป็นส่วนของกลูต้าไธโอนบวกกับวิตามินซีมากกว่า"
กลยุทธ์พ่อค้าหัวใส เสี่ยงเกิดอาการแพ้!
กลยุทธ์จับคอลลาเจนมาคู่กับกลูต้าไธโอน (Glutathione) เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่อยากเด้ง เต่งตึง ขาวใสเท่านั้นไม่พอ ยังโฆษณาขึ้นชื่อส่วนผสมอื่นๆ ที่ช่างดูดีขลังเว่อร์ เช่น Glycine, Peptide, Mixedberry, Calcium เป็นต้น
ต้องดูว่าคอลลาเจนจากอะไร คนแพ้โปรตีน-อาหารทะเล ห้ามดื่ม!
"ต้องรู้ก่อนว่า คอลลาเจนคืออะไร" นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ อธิบายต่อ
"คอลลาเจนมันคือ ตั้งแต่ผม เล็บ เนื้อ หนัง กล้ามเนื้อ ล้วนเป็นคอลลาเจน สรุปง่ายๆ คอลลาเจนคือ เนื้อตัวเรา จริงๆ แล้วก็คือโปรตีน มันก็มีอยู่ในสัตว์อื่นๆ ทั้งหลาย ทีนี้เวลาที่สกัดคอลลาเจนมา มักจะโฆษณากันว่า คอลลาเจนผงจากปลาทะเลน้ำลึก หรือไม่ก็คอลลาเจนบริสุทธิ์ พวกเค้าต้องมีกิมมิค (gimmick) ให้ดู precious เป็นของล้ำค่า คอลลาเจนจากหอยเป๋าฮื้อ จากหอยมุก จากไข่ปลาคาเวียร์"
"เมื่อก่อนมีมาคอลลาเจนจากญี่ปุ่นที่มาใส่ในหม้อไฟ เรียกกันว่า กินคอลลาเจนสดๆ แต่พอแปรรูปเป็นผง ซึ่งพวกเราไม่มีทางรู้เลย ผสมแป้งไหม มีสารปนเปื้อนอะไรบ้าง"
แต่ที่แน่ๆ ส่วนใหญ่เน้นชูธงว่า เป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก ดังนั้นข้อเสียอย่างแรกคือ แพ้!
"หากกินแล้วรู้สึกคลื่นไส้ ถือว่าเป็นระดับอนุบาล แต่ถ้าแพ้รุนแรง จะบวมเป็นผื่นขึ้น ถึงขั้นแน่นหน้าอก หลอดลมตีบ หายใจไม่ออกได้เลย ยิ่งคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก คนที่แพ้อาหารทะเล กินคอลลาเจนชนิดนี้ไม่ได้นะครับ เพราะจะเกิดอาการแพ้รุนแรง เตือนคนที่แพ้อาหารทะเล ต้องดูที่มาของคอลลาเจนด้วย"
"ข้อเสียที่สองเป็นของแถมครับ ได้แก่ สารปนเปื้อน อย่างที่บอกถ้าเป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก มักจะมีพวกโลหะหนักที่ติดมาจากทะเลน้ำลึก ได้แก่ พวกตะกั่ว ปรอท หรือพวกสารปนเปื้อนอื่นๆ"
กรณีคุณไม่แพ้ จึงกินทุกวันด้วยความหวังว่า กินแล้วสวย ทว่าหมอกฤษดา ฟันธงว่า
"ข้อเสียที่สาม ถ้ากินทุกวัน ไตทำงานหนักแน่นอนเลยครับ เพราะคอลลาเจนผ่านทางไต มันจะทำให้ไตทำงานเหนื่อยมาก นอกจากข้าวประจำวัน ยังต้องมาทำงานล่วงเวลาขับคอลลาเจนอีก ดังนั้นใครที่มีปัญหาเรื่องไต เป็นโรคไต ไม่ควรกิน รวมทั้งคนที่อยากสวยแต่อายุเยอะแล้ว ต้องระวังมากๆ"
วูบเพราะขาดเลือด ขาวเพราะ "ซีด"
"ส่วนผลข้างเคียง เช่น วูบ วิงเวียนศีรษะ ถ้าเขาเคลมว่าขาวใสภายใน 7 วัน และมีอาการวูบ น่าจะมีกลุ่มของยา Diuretic หรือ กลุ่มของยาขับปัสสาวะ ก็จะทำให้ปัสสาวะเยอะ และลดความดันบางตัว ทำให้ดูซีด ดูขาว เพราะเกิดจากการซีดนั่นเอง"
"มนุษย์เราปกติจะมีเลือด เช่น ลองดูจากนัยตาเราซิ จะมีเลือดเส้นเลือดแดงๆให้เห็นอยู่ แต่ถ้ากินไปจะเกิดอาการซีดเพราะเลือดน้อยนั่นเอง จะทำให้มีผลในเรื่องความดัน เป็นอาการของ Orthostatic Hypotension เช่น ลุกขึ้นมาวิงเวียนศีรษะ ความดันต่ำ วูบ"
"ควรเลิกทานทันที และบำรุงความดันขึ้นมา เช่น กินผักใบเขียว ทานตับให้เยอะ ดื่มน้ำตามเยอะๆ จะช่วยได้ อันนี้ในส่วนของกรณีคนไข้ปกติไม่ได้มีโรคอะไร"
หันมาทานผักผลไม้ อาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจน ผักใบเขียวทุกชนิด และผักที่มีสีสัน เช่น บีทรูท แครอท ฟักทอง และหากทานบล็อกโคลี่ได้จะมีประโยชน์มาก เพราะคอลลาเจนมาก กล้วยน้ำว้าก็เยี่ยมมาก แอปเปิ้ล กีวี มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัยได้ และมะเขือเทศ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า สามารถลดอาการ ป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชายได้
ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อ คุณพ่อของหมอเองมีต่อมลูกหมากโต ผมจึงให้คุณพ่อทานมะเขือเทศกินทุกวัน ผ่านไป 6 เดือน ไปอัลตราซาวนด์ดูก้อนมะเร็งลดลงไปเลย
สุดท้าย คุณหมอย้ำเตือนสาวๆ ผู้พิสมัยหลงใหลในความขาวว่า
"ต้องระวังเรื่องของมาร์เก็ตติ้งให้มาก เพราะคอลลาเจนจะช่วยให้ความชุ่มชื้นเต่งตึง แต่ไม่ใช่โดยการกิน ต้องเป็นโดยการผลัก หรือฉีดเท่านั้น"
ทำใจ! ไม่มีสารอะไรแก้ความเหี่ยวได้ถาวร
ข้อมูลทางการแพทย์ ระบุด้วยว่า ในปัจจุบันคอลลาเจนได้รับความสนใจในการใช้เป็นอาหารเพื่อเสริมสร้างสุขภาพผิวหนัง แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดถึงภาวะร่วงโรยของผิวหนังที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้งตามกาลเวลาแล้ว ก็พบว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างถาวร
วิธีง่ายๆ บ้านๆ จึงควรดูแลผิวด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ซึ่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมของผิว โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซีซึ่งจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน ที่สำคัญควรดื่มน้ำที่สะอาดให้มาก พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอควบคู่กันไป ละเว้นจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสม ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงสภาวะที่มีฝุ่นและควันพิษต่างๆ รวมทั้งแสงแดดจัดๆ ในช่วงเวลา 9.30-15.00 น. ซึ่งจะทำลายผิว
เรียบเรียงบทความจาก manageronline